15/2/57

ประวัติการรับน้อง



  


           ประวัติการรับน้อง















 ประเพณีการรับน้องเป็นประเพณีที่มีมานานแล้วทั่วโลก ทั้งในรูปแบบของแฟกกิง แรกกิง หรือ เฮซซิง ส่วนการรับน้องในสถาบันการศึกษานั้นเพิ่งจะเริ่มมีขึ้นประมาณ 700 ปีมาแล้วในทวีปยุโรป ต่อมาเมื่อชาวยุโรปไปตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือหรือเข้าไปยึดครองดินแดนต่างๆทั่วโลกเป็นอาณานิคม ก็นำเอาประเพณีการรับน้องเข้าสู่สถาบันการศึกษาติดตัวไปตามดินแดนต่างๆทั่วโลก เมื่อเวลาผ่านไปประเพณีรับน้องที่มาจากยุโรปนี้แม้ว่าจะเลือนหายไปจากทวีปยุโรปจนหมดสิ้นในยุคปัจจุบันแต่ประเพณีนี้กลับเบ่งบานในทวีปอเมริกาหนือและเอเชียจนสร้างปัญหาความรุนแรงให้เกิดขึ้นตามสถาบันการศึกษาจนเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ แคนาดา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย ศรีลังกา รวมทั้งประเทศไทยด้วย จนกระทั่งสหประชาชาติเองต้องเอาประเด็นในเรื่องประเพณีรับน้องที่มีความรุนแรงมาใส่ในเรื่อง สิทธิมนุษยชนในเรื่องการศึกษาด้วย ผู้เขียนบทความ History of Greek Hazing ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื่อว่าประเพณีการรับน้องมีรากเหง้ามาจากทวีปยุโรปโดยมาจากระบบ Penalism ในภาคพื้นยุโรป และระบบแฟกกิงในอังกฤษ ระบบ Penalism เกิดขึ้นในสมัยกลางประมาณ 700 ปีก่อน เนื่องจากเชื่อว่าน้องใหม่ที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยยังขาดการศึกษาไม่เป็นอารยชนต้องผ่านการขัดเกลาด้วยความลำบากก่อนที่จะได้รับชีวิตใหม่ที่ดีในมหาวิทยาลัย เพื่อให้รู้จักประพฤติตัวให้เหมาะสมก็จะถูกบังคับให้ใส่ชุดแปลกๆ ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกเล่นตลกที่หยาบคายหรือถูกพวกว๊ากเกอร์รีดไถเงินหรืออาหารมื้อเย็น สองร้อยปีต่อมาระบบนี้ก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วยุโรป แต่ว่าเป็นระบบที่อันตราย มีการบันทึกในเรื่องคนเจ็บและคนตายจนผู้ปกครองนักศึกษาหวาดกลัวประเพณีนี้ เมื่อสิ้นสุดสมัยกลางใน 100 ปีถัดมาระบบนี้จึงถูกยกเลิกไป[2]
ในอังกฤษใช้ระบบแฟกกิงโดยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในประมาณปี พ.ศ. 2310 และได้ถูกนำไปใช้ในมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดและเคมบริดจ์ และโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์ส ระบบนี้จำกัดอำนาจของครูโดยให้นักเรียนปกครองกันเอง โดยนักเรียนอาวุโสที่เรียกว่า Fag-master หรือ Prefect จะเลือกนักเรียนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่รับใช้ส่วนตัวหรือ Fag โดยรุ่นพี่ (Fag-master) สามารถใช้งานรุ่นน้อง (Fag)ได้ตามใจชอบ สามารถลงโทษรุ่นน้องที่รุนแรงและใช้วาจาหยาบคายได้ โดยให้รุ่นน้องเรียนรู้เรื่องความอัปยศก่อนที่จะประพฤติตนให้เหมาะสม ซึ่งระบบนี้เสี่ยงกับการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือล่วงละเมิดทางเพศได้ ซึ่งมีสถิติผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตและฆ่าตัวตายเกิดขึ้นเช่นกัน และระบบนี้ได้ถึงจุดจุดอิ่มตัวประมาณ 200 ปีก่อน และเลือนหายไปประมาณเมื่อ 100 ปีก่อน เนื่องจากค่านิยมในเรื่องคนรับใช้เปลี่ยนไป แม้จะได้รับการต่อต้านจากรุ่นพี่ที่เคยได้รับประโยชน์จากระบบนี้โรงเรียนกินนอนของอังกฤษได้ตัดสินใจยกเลิกระบบนี้ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา โดยเปลี่ยนให้น้องใหม่ทำประโยชน์ต่อสังคมแทนที่จะคอยรับใช้รุ่นพี่ แฟกกิงต่างจาก Penalism คือ รุ่นพี่จะแกล้งรุ่นน้องได้ตลอด แต่ Penalism รุ่นพี่แกล้งน้องในช่วงการรับน้องได้เพียงครั้งเดียว ระบบแฟกกิงนี้ได้ยังคงมีอยู่ตามโรงเรียนกินนอนของประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้ ซึ่งย่นระยะเวลาการเป็นน้องใหม่ให้สั้นลงและเพี้ยนไปเป็น Ragging ซึ่งประเทศไทยเองก็มีโรงเรียนมหาดเล็กซึ่งต่อมาวิวัฒนาการเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยและภปร.ราชวิทยาลัยซึ่งถอดแบบมาจากโรงเรียนกินนอนในอังกฤษและได้ยกเลิกระบบนี้เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน
ผู้อพยพอังกฤษที่ไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐและแคนาดาได้นำระบบแฟกกิงไปใช้ในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 400 ปีก่อน เช่น ฮาร์วารด์ เยล แต่ว่าคณาจารย์จะเป็นผู้ออกกฎที่เข้มงวดบังคับใช้กับน้องใหม่โดยเฉพาะแทนที่จะเป็นรุ่นพี่ เช่น ต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ เป็นต้น แต่หลังจากสหรัฐได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2326 แล้วมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งใหม่ไม่มีการบังคับใช้กฎเกณฑ์แบบนี้กับน้องใหม่ ล่วงมาถึงประมาณ 300 ปีก่อนได้มีการจัดตั้งองค์การนักศึกษาขึ้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วยุโรป ในสหรัฐได้มีการจัดตั้งสมาคมที่เรียกว่ากลุ่มภราดรภาพ Fraternity สำหรับนักศึกษาชายซึ่งมีลักษณะเป็นสมาคมลับเป็นครั้งแรกขึ้นมาบ้างในปี พ.ศ. 2319 ที่วิทยาลัยวิลเลียมส์ แอนด์ แมรี่ ในรัฐเวอร์จิเนียโดยใช้ตัวย่อเป็นอักษรกรีกคือ ฟี เบต้า แคปปา เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจพบของผู้บริหารวิทยาลัย ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2371-2388 มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้มีจัดตั้งสมาคมเหล่านี้ขึ้นมาอย่างแพร่หลายและในเวลาต่อมานักศึกษาหญิงก็จัดตั้ง Sorority ขึ้นมาบ้างโดยใช้ตัวย่อเป็นอักษรกรีก เช่น อัลฟ่า เบตา แกมม่า เป็นต้น [2] ล่วงมาถึงประมาณปี พ.ศ. 2390 นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างไอวี่ลีก (Ivy League) ได้แก่ ฮาร์วาร์ด เยล คอร์แนล ปรินซ์ตัน เป็นต้น ได้เริ่มคิดที่จะหาวิธีการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและความรักสถาบัน ได้คิดวิธีการเทคนิคกดดันน้องใหม่โดยให้น้องใหม่ถูกกลั่นแกล้งให้ได้รับความอับอายที่คนอเมริกันและแคนาดาเรียกว่า Hazing ได้นำหลักการการละลายพฤติกรรมจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์และโรงเรียนนายเรือแอนนาโปลิสซึ่งมีความคล้ายคลึงกับระบบ แฟกกิง ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะได้รับการถ่ายทอดจากผู้อพยพจากอังกฤษที่จบจากแซนด์เฮิร์สหรือโรงเรียนกินนอนมาอีกทอดหนึ่ง แต่การรับน้องเป็นไปในลักษณะชั้นปีตามสาขาหรือคณะ (Class Basis) โดยนักศึกษาใหม่ที่จะเข้าร่วมสมาคมเหล่านี้ จะเรียกว่า น้องใหม่ (Neophyte, Freshmen) ซึ่งจะต้องผ่านการรับน้องโดย Hazing หรือระบบว๊ากเพื่อทดสอบความกล้าซึ่งอยู่ไม่มีความรุนแรงอะไรมากนัก[2]มหาวิทยาลัยในแคนาดาซึ่งได้รับอิทธิพลจากทั้งอังกฤษที่ปกครองอยู่และสหรัฐที่เป็นเพื่อนบ้านก็รับเอาประเพณีนี้ไปใช้เช่นกัน อย่างไรก็ตามมีข้อมูลจากหลายแหล่งระบุมีนักศึกษาใหม่เสียชีวิตจากการรับน้องเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยคอร์แนลในปี ค.ศ.2416 โดยตกลงไปในเหว[3] แต่ Hank Nuwen (1999) ได้ย้อนรอยไปถึงปี พ.ศ. 2381 เมื่อมีนักศึกษาเสียชีวิตที่ Franklin Seminary ในรัฐเคนทักกี (Kentucky) เป็นครั้งแรก

ประวัติการรับน้องในประเทศไทย

ประวัติรับน้องในประเทศไทยเริ่มจากในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2474 ได้มีเหตุการณ์ไม่งามเกิดขึ้น คือ แบ็คของคณะแพทยศาสตร์ได้ถูกผู้เล่นในทีมตรงข้ามวิ่งเข้าต่อย ซึ่งสโมสรสาขาศิริราชสืบทราบว่าได้มีการตระเตรียมวางแผนการไว้ก่อนแล้ว จึงได้ส่งหลักฐานฟ้องร้องไปทางสโมสรกลางให้จัดการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้น ต่อมา ได้มีการพิจารณาและไต่สวนกันหลายครั้ง แต่ในที่สุดบรรยเวกษ์ก็ได้อะลุ่มอล่วยให้เลิกแล้วกันไป นิสิตแพทย์ส่วนมากไม่พอใจ เนื่องด้วยนิสสิตคณะวิทยาศาสตร์บางส่วนจะต้องข้ามมาเรียนปีสองที่คณะแพทยศาสตร์ จึงได้มีเสียงหมายมั่นจะแก้มือด้วยประการต่าง ๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องรู้ไปถึงหูพวกที่เป็นต้นเหตุนั้น แต่ครั้นใกล้เวลาที่พวกใหม่จะต้องมาเรียนที่ศิริราช คณะกรรมการสโมสรสาขาศิริราชได้มีความเห็นว่า การแก้แค้นจะทำให้แตกความสามัคคี ดังนั้นชาวศิริราชจึงได้ตกลงเลือกทางกุศล คือ แทนที่จะใช้วิธีการบีบบังคับให้ขอขมา กลับจัดการเลี้ยงต้อนรับเป็นการแสดงการให้อภัยและเชื่อมความสามัคคีแทน

พิธียกโทษกลายมาเป็นประเพณีประจำคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งต่อมาคือประเพณีรับน้องข้ามฟากของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และได้ขยายวงกว้างออกไปยังหมู่คณะอื่น ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความเจริญมีมากขึ้นตามจำนวนปีที่ผ่านไป การต้องรับนิสสิตใหม่ได้แปรรูปตามไปด้วย ทำให้งานนี้ได้กลายเป็นโอกาสสำหรับโอ่อ่าและประกวดประขันกันต่าง ๆ
ส่วนกำเนิดการรับน้องแบบรุนแรงหรือระบบว๊ากสำหรับประเทศไทยซึ่งคนไทยทั่วไปเข้าใจว่าเป็น "ระบบโซตัส" มาจากโรงเรียนป่าไม้ภาคเหนือหรือวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งกลายเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบัน รับระบบนี้มาใช้เป็นแห่งแรก โดยอาจารย์ในยุคบุกเบิกส่วนใหญ่ที่จบจากวิทยาลัยเกษตรกรรมลอสบานยอส (Los Baños)ที่เป็นส่วนหนึ่งของ มหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ ได้นำระบบว๊ากถ่ายทอดให้กับนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้อาจารย์บางท่านก็ถูกส่งไปถึงมหาวิทยาลัยออริกอนสเตต (Oregon State University) และมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University ) ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นต้นฉบับของระบบว๊าก ประเพณีที่ว่านี้ก็คงติดตัวท่านเหล่านั้นเข้ามาเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 เมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยในช่วงแรกนั้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับนิสิตจากวิทยาลัยเกษตรกรรมเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบบว๊ากจึงถูกใช้ในการรับน้องด้วย[4]
ผู้ที่นำระบบการกดดันรุ่นน้องเข้ามาคิดว่าเทคนิคกดดันกลั่นแกล้งเหล่านี้เป็นการละลายพฤติกรรม ลดทอนความต่างของฐานะให้นิสิตใหม่รู้สึกเท่าเทียม มีความรักสามัคคี ซึ่ง ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้พูดถึงที่มาของระบบว๊ากในหนังสือ "หนุ่มหน่ายคัมภีร์" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ โดยให้ภาพการถ่ายทอดประเพณีการรับน้องจากสหรัฐอเมริกาสู่ไทยโดยผ่านมาทางฟิลิปปินส์ว่า "ตัวอย่างของการที่ประเพณีประเภทนี้แผ่ขยายเข้ามาในเมืองไทยจะเห็นได้ชัดในกรณีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คือประเพณีการคลุกโคลนปีนเสา...เห็นได้ชัดในอดีตอันแสนไกลของมหาวิทยาลัยคอร์แนล...ภาพเก่าๆ เกี่ยวกับอดีตของคอร์แนลมักจะมีรูปการปีนเสาทรมานแบบนี้ แต่นั่นก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ประเพณีการปีนเสานี้ก็ได้แผ่ขยายไปยังฟิลิปปินส์ ในสมัยนั้นฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกาอยู่ และคอร์แนลก็ได้มีส่วนร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ คอร์แนลมีคณะเกษตรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้นจึงได้เข้ามามีส่วนช่วยสร้างวิทยาลัยเกษตรที่ลอสบันยอส ประเพณีการปีนเสาก็ถูกถ่ายเทจากมหาวิทยาลัยเมืองแม่มายังมหาวิทยาลัยอาณานิคม"[5] จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยรับระบบการรับน้องแบบว๊ากในช่วงที่การรับน้องแบบนี้ยังเป็นที่นิยมในสหรัฐและฟิลิปปินส์อยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น